ข้อมูลพื้นฐาน | การจัดการองค์ความรู้ KM หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แหล่งความรู้
ข้อควรรู้กับยาเสพติด
ยาเสพติดและการป้องกัน
"ยาเสพย์ติด เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม" คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้ดีในทุกยุคทุกสมัย เนื่องจากทุกคนต่างทราบถึงพิษร้ายของยาเสพย์ติดเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์อันเนื่องมาแต่สาเหตุนี้นับเป็นการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศใด ดังนั้นจึงช่วยกันสอดส่องดูแลบุคคลในครอบครัว อย่าให้เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติดไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
"ยาเสพย์ติด" หมายถึง สารเคมีหรือสารใดก็ตามที่เมื่อบุคคลเสพย์หรือรับเข้าทางร่างกายไม่ว่าจะโดยการฉีด สูบ ดื่ม หรือวิธีอื่นๆติดต่อกันเป็นเวลานานในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อเสพไปได้สักระยะหนึ่งจะทำให้ผู้เสพแสดงออกมาตามลักษณะเหล่านี้
- ผู้เสพมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพยาชนิดนั้นต่อเนื่องไป และต้องแสวงหามาเสพให้ได้ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม
- ผู้เสพจะเพิ่มปริมาณยาที่เคยใช้มากขึ้นทุกระยะ
- ผู้เสพจะมีความปรารถนาอยากเสพยาชนิดนั้นอย่างรุ่นแรงจนระงับไม่ได้คือติดทั้งร่างกายและจิตใจ
ลักษณะที่สังเกตได้ของผู้ติดยา
1. ตาโรย ขาดความกระปรี้กระเปร่า น้ำมูกน้ำตาไหล ริมฝีปากเขียวคล้ำแห้งและแตก (เสพโดยการสูบ)
2. เหงื่อออกมาก กลิ่นตัวแรง พูดจาไม่สัมพันธ์กับความจริง
3. มีร่องรอยของการเสพยาโดยการฉีดที่บริเวณแขนตามแนวเส้นโลหิต
4. ท้องแขนมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการกรีดด้วยของมีคมตามขวาง(ติดเหล้าแห้ง ยากล่อมประสาท ยาระงับประสาท)
5. ใส่แว่นตากรองแสงเข้มเป็นประจำเพราะม่านตาขยายและเพื่อปกปิดนัยน์ตาสีแดงก่ำ 6. มักสวมเสื้อแขนยาวปิดรอยฉีดยา พบเห็นบุคคลที่มีลักษณะเข้าข่าย
6. ประการข้างต้น ก็ไม่ควรปล่อยให้บุตรหลานของท่านร่วมเสวนาด้วย เพราะคนเหล่านี้อาจเป็นพาหะนำยาเสพย์ติดเข้ามาสู่ครอบครัวท่านก็เป็นได้
สาเหตุของการติดยาเสพติด
1. ความอยากรู้อยากลองด้วยความคึกคะนอง
2. เพื่อนชวน หรือต้องการให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
3. มีความเชื่อในทางที่ผิด เช่น เชื่อว่ายาเสพย์ติดบางชนิดอาจช่วยให้สบายใจ ลืมความทุกข์ หรือช่วยให้ทำงานได้มาก
4. ขาดความระมัดระวังในการใช้ยา เพราะคุณสมบัติยาบางชนิดอาจทำให้ผู้ใช้ยาเกิดการเสพย์ติดโดยไม่รู้ตัว หากใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยขาดการแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร
5. สภาพแวดล้อม ถิ่นที่อยู่อาศัยมีการค้ายาเสพย์ติด หรือมีผู้ติดยาเสพย์ติด
6. ถูกหลอกให้ใช้ยาเสพย์ติดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
7. เพื่อหนีปัญหา เมื่อมีปัญหาและไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับตนเองได้
รู้จักยาบ้า ยาอี ยาเลิฟ
"ทลายแหล่งยาบ้า"..."บุกจับปาร์ตี้ยาอี" จนมาถึงคำว่า "ยาเลิฟ" ปรากฏทางสื่อมวลชนแทบทุกวัน คงสร้างความสงสัยให้ผู้อ่านมากทีเดียวว่าแท้จริงแล้ว ยาบ้า ยาอี ยาเลิฟ คืออะไรกันแน่
ยาบ้า เดิมผู้เสพเรียกว่า "ยาม้า" แต่ด้วยฤทธิ์ของยาที่ทำให้ผู้เสพคลุ้มคลั่งคล้ายคนบ้า จึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "ยาบ้า" ในยาบ้ามีส่วนผสมของสารเคมีที่สำคัญคือ เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาททำให้ผู้เสพประสาทตึงเครียด ตกใจง่าย หงุดหงิด สับสน กระวนกระวาย นอนไม่หลับแต่เมื่อหมดฤทธิ์ผู้เสพจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก เพราะสมองและร่างกายขาดการพักผ่อน ประสาทจะหล้า ทำให้ตัดสินใจช้าและผิดพลาดจนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ การเสพยาบ้าเป็นเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม มีอาการประสาทหลอน หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง อาจทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้ ดั่งที่เป็นข่าวเสมอ
ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี (Ecstasy) เป็นยาเสพติดกลุ่มเดียวกัน จะแตกต่างกันบ้างในด้านโครงสร้างทางเคมี นอกจากนี้ชื่อ ยาบ้า ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซีแล้ว ยังมีชื่อในกลุ่มผู้เสพอีกหลายชื่อ เช่น Adam Batman Enjoy Essence ฯลฯ ส่วนยาเลิฟเป็นชื่อเรียกตามอาการของผู้เสพ เพราะเมื่อเสพยาชนิดนี้แล้วไม่สามรถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ทำให้เกิดการมั่วเพศ
ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี เริ่มแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยโดยชาวต่างชาติและชาวไทยที่ไปศึกษาในต่างประเทศนำเข้ามาเสพในกลุ่มตน จากนั้นได้แพร่กระจายไปสู่กลุ่มวัยรุ่นนักเที่ยวที่ชอบการเต้นรำ จนเกิดปาร์ตี้ยาอีตามข่าว
ยาอี ยาเลิฟ เอ็คซ์ตาซี ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทในระยะสั้นๆหลังจากนั้นจะออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง ฤทธิ์ของยาจะทำให้ผู้เสพรู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว การมองภาพและการรับฟังเสียงต่างๆผิดไปจากความเป็นจริง ผู้เสพจะรู้สึกคล้อยไปตามเสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่คนทั่วไปฟังแล้วแสบแก้วหูและรำคาญ แต่ผู้เสพ ยาบ้า ยาอี เอ็คซ์ตาซี จะถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ยาทำให้เต้นรำไปตามจังหวะเพลงอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ซึ่งการเต้นรำอย่างหักโหมนี้เองทำให้ร่างกายเสียเหงื่ออย่างมาก เป็นเหตุให้ช็อคและเสียชีวิตได้
มา รู้จัก " สารระเหย " ปัจจุบันผู้ติดยาเสพย์ติดหันไปเสพย์ยาตัวอื่นที่มีราคาถูกและหาได้ง่ายกว่าผงขาว ซึ่งก็คือสารระเหยชนิดต่างๆ เช่น ทินเนอร์ผสมสี น้ำมันเบนซิน น้ำมันไฟแช็ก น้ำมันก๊าด น้ำมันแล็คเกอร์ กาวชนิดต่างๆ น้ำมันชักเงา ยาทาเล็บ ตลอดจนสเปรย์ต่างๆโดยหารู้ไม่ว่าสารเสพติดประเภทนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าเฮโรอีนหลายเท่านัก
เพราะเฮโรอีนทำให้สุขภาพทั่วไปทรุดโทรมก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความพิการถาวรไว้ให้แก่อวัยวะใด ๆ ในร่างกาย ซึ่งเมื่อเลิกเสพ เพียงพักฟื้นไม่นานสุขภาพก็จะแข็งแรงกลับสู่สภาพปกติได้ แต่สารระเหยเหล่านี้ เมื่อเสพจนติดเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายเป็นโรคหรือมีความพิการถาวรและไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด สมองพิการ ตับพิการ พิการทางพันธุกรรม
พิษภัยของสารระเหย
พิษภัยของสารระเหยต่อร่างกาย หากเสพไปนาน ๆ จะเกิดอาการได้ 2 แบบ คือ
- พิษระยะเฉียบพลัน
- พิษระยะเรื้อรัง
เมื่อสูดดมสารระเหยเข้าไปในกระเพาะอาหารก็จะสูดดมซึมเข้าไปในหลอดเลือดไหลเวียนไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายโดยจะไปออกฤทธิ์โดยตรงด้วยการไปกดสมองส่วนกลาง ดังนั้นพอสูดดมไปไม่กี่นาทีจะเกิดอาการเมาที่คล้ายคนเมาเหล้า คือ เวียนหัว ตาพร่า เวลาดูอะไรจะเพ่งจะจ้องเหมือนตาขวาง ลิ้นไก่สั้น เดินโซเซ ง่วงซึม จิตใจครึกครื้น เห่อเหิม คึกคะนองซึ่งอาจทำให้ก่ออาชญากรรมได้ สติปัญญาทึบ มีหูแว่ว เกดประสาทหลอน เกิดความคิดแบบหลงผิด หากสูดดมต่อไปนาน ๆ จะทำให้อาการโคมาถึงตายได้ ซึ่งมักจะมีสาเหตุจากการสูดยาเกินขนาดทำให้ยาไปกดที่ศูนย์ควบคุมการหายใจและหยุดหายใจในที่สุด นอกจากนี้ยายังไปออกฤทธิ์ต่อหัวใจทำให้หัวใจเต้นเร็วและไม่เป็นจังหวะ
สำหรับกลุ่มคนต่าง ๆ ที่มักจะเสพสารระเหยเหล่านี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เยาวชนของชาติ ซึ่งกำลังศึกษาในระดับมัธยมต้นและปลาย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและในจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งนับวันจะมีแนวโน้มว่ามีการเสพติดยาชนิดนี้อย่างแพร่หลาย และเด็กเหล่านี้จะมีอายุระหว่าง 8-10 ปี โดยเสพกันเป็นกลุ่ม ในวัด ในห้องที่ลับตาคน โดยใช้สำลี ผ้าเช็ดหน้าหรือเสื้อยืดชุบทินเนอร์จนชุ่มแล้วสูดดมเข้าปอดหมุนเวียนต่อไปจนเมามาย บางคนอาจฉีดสเปรย์เข้าตู้เสื้อผ้าหรือตู้ลับ แล้วยื่นหน้าเข้าสูดดม
จะเห็นได้ว่ายาเสพติดพวกสารระเหยนี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของใช้แทบทุกครัวเรือน หรือหาซื้อได้ทุกแห่ง มีราคาถูก และทุกชนิดมีกลิ่นหอมที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยชอบกลิ่น จึงทำให้เสพย์ติดได้ง่ายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิง
ตามพระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 ได้กำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้นำสารระเหยมาใช้ในทางที่ผิดไว้หลายประการ และกำหนดให้ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดและต้องโทษ ดังนี้
1. กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ขายสารระเหย ต้องจัดให้มีภาพหรือข้อความที่ภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสารระเหย เพื่อเป็นการเตือนให้ระวังการใช้สารดังกล่าว ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ห้ามไม่ให้ผู้ใดขายสารระเหยแก่ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 17 ปี เว้นแต่เป็นการขายโดยสถานศึกษาเพื่อใช้ในการเรียนการสอน ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ห้ามไม่ให้ผู้ใดขาย จัดหา หรือให้สารระเหยแก่ผู้ซึ่งตนรู้หรือควรรู้ว่าเป็นผู้ติดสารระเหย ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ห้ามไม่ให้ผู้ใดจูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม หรือใช้อุบายหลอกลวงให้บุคคลอื่นใช้สารระเหย บำบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. ห้ามไม่ให้ผู้ใดใช้สารระเหยบำบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ ไม่ว่าด้วยวิธีสูดดมหรือวิธีอื่นใด ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พึงระลึกไว้เสมอว่าการเสพสารระเหยนอกจากจะเป็นโทษต่อร่างกายแล้วยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
พ บทลงโทษเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษชนิดอื่น
เฮโรอีน
- ผู้จำหน่ายหรือมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง น้ำหนักไม่เกิน 100 กรัม จำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 50,000 - 5000,000 บาท
- เกิน 100 กรัม ประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
- มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท
- ผู้เสพเฮโรอีนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 - 100,000 บาท
กัญชา
- มีกัญชาไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายหรือผลิต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 - 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 150,000 บาท
- ผู้ใดเสพกัญชา จำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- มีกัญชาไว้ในครอบครอง โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ยาบ้า
- ผู้ผลิต นำเข้าหรือส่งออกยาบ้าเพื่อจำหน่าย มีโทษประหารชีวิต
- มียาบ้าตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป ( สารบริสุทธิ์ ) ถือเป็นการกระทำเพื่อจำหน่ายมีโทษประหารชีวิต
- จำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่เกิน 100 กรัม (สารบริสุทธิ์) โทษจำคุก 5 ปีถึงตลอดชีวิต และปรับ 50,000 บาท
- เกิน 100 กรัม โทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
- ครอบครองไม่เกิน 20 กรัม โทษจำคุก 1 - 10 ปี ปรับ 10,000 - 100,000 บาท
- ผู้เสพโทษจำคุก 6 เดือน - 10 ปี ปรับ 5,000 - 100,000 บาท
พ การป้องกันการติดยาเสพติด
1. ป้องกันตนเอง ไม่ใช้ยาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์และอย่าทดลองเสพยาทุกชนิดโดยเด็ดขาด
2. ป้องกันครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็กและบุคคลในครอบครัว อย่าให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต้องคอยอบรมสั่งสอนให้รู้ถึงโทษและภัยของยาเสพติดที่สำคัญ ควรให้ความรักความอบอุ่นกับลูกหลาน เพราะความรักของครอบครัวจะเป็นปราการสำคัญต้านภัยยาเสพติดให้ หากมีผู้เสพยาในครอบครัวควรจัดการให้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลให้หายเด็ดขาด อย่าแสดงความรังเกียจหรือดูหมิ่นควรให้กำลังใจให้ความรักต่อเขา และการรักษาแต่เริ่มแรกที่ติดยามีโอกาสหายได้เร็วกว่าปล่อยไว้นาน ๆ
3. ป้องกันเพื่อนบ้าน ช่วยชี้แจงเพื่อนบ้านให้เข้าใจถึงโทษและภัยของยาเสพติด หากพบว่าเพื่อนบ้านติดยาเสพติด อย่าแสดงความรังเกียจ ควรช่วยแนะนำให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
4. ป้องกันโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ เมื่อทราบว่าสถานที่แห่งใดมียาเสพติดแพร่ระบาด ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกแห่งทุกท้องที่ทราบ หรือที่ศูนย์ปราบปรามยาเสพติดให้โทษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร. 252-7962, 252-5932 หรือ "1688" และที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักนายกรัฐมนตรี โทร.2459350-9
พ การปฐมพยาบาลผู้ติดยาเสพติด
หากพบเห็นบุคคลใดมีอาการลงแดงอันเนื่องมาจากการติดยาเสพติด ขอให้ปฏิบัติตามดังต่อไปนี้
1. อย่าตื่นตระหนก พยายามสงบสติอารมณ์ตนเอง
2. พยายามให้ผู้ติดยาอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์อย่างเพียงพอ
3. ให้ผู้ติดยานอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้อาเจียนปิดกั้นทางเดินหายใจ พร้อมทั้งปลดเสื้อผ้าออกให้สบายที่สุด
4. อย่าปล่อยให้ผู้ตดยาอยู่เพียงลำพัง
5. เรียกรถพยาบาลโดยเร็วที่สุด
6. เก็บตัวอย่างยาเสพย์ติดไว้ให้แพทย์วินิจฉัย
พ สถานทีให้คำปรึกษาด้านการป้องกัน และแนะนำการบำบัดรักษาชั้นต้น
1. สำนักงานป้องกันการติดยา ( กระทรวงสาธารณสุข ) โทร. 282-4180-5
2. สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยศูนย์อาสาสมัครยาเสพย์ติดตึกมหิดล โทร. 245-5522
3. ศูนย์สุขวิทยาจิต โทร. 281-5241
4. สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย โทร. 245-2733
5. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด ( ป.ป.ส.) โทร. 245-9340-9